( บันไดขั้นที่ 2 สู่ความร่ำรวย )
ศรัทธาคือนักเคมีคนสำคัญของจิตใจ
เมื่อศรัทธาผสานผสมเข้ากับคลื่นสั่นสะเทือนของความคิด
จิตใจสำนึกก็จะคลื่นสั่นสะเทือนนั้นเอาไว้ในทันที
แล้วเปลี่ยนแปลงให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าทัดเทียมกันภายใน และส่งต่อไปยังภูมิปัญญาที่สูงล้ำกว่าอย่างเช่นกรณีของการสวดอ้อนวอน
ศรัทธา ความรัก และเซ็กส์
ล้วนเป็นอารมณ์สร้างสรรค์สำคัญที่มีพลังมากที่สุด
เมื่อทั้งสามสิ่งรวมกันจะก่อเกิด “สีสัน” ขึ้นกับคลื่นสั่นสะเทือนแห่งความคิดซึ่งโดยวิถีทางนี้เองที่ทำให้จิตใต้สำนึกประทับคลื่นดังกล่าวเอาไว้ในทันทีจากนั้นก็เปลี่ยนแปลงให้เป็นสิ่งที่มีคุนค่าทัดเทียมกับจิตวิญญาณภายใน
อันเป็นรูปแบบเพียงหนึ่งเดียวที่ก่อให้เกิดการสนองตอบจากภูมิปัญญาที่สูงล้ำกว่าได้
ความรักและศรัทธาเป็นเรื่องของจิตใจ เชื่องโยงกับจิตวิญญาณของเรา
ส่งเซ็กส์นั้นเกี่ยวข้องกับภายในล้วนๆ
และข้องเกี่ยวทางร่างกายเท่านั้น
การหลอมรวม หรือผสานผสมอารมณ์ทั้งสามเหล่านี้เข้าด้วยกันจะก่อให้เกิดการเปิดช่องทางการสื่อสารโดนตรงระหว่างความคิดอันมีขอบเขตจำกัดและภูมิปัญญาอันไร้ขอบเขต
เราสร้างศรัทธาได้อย่างไร
ศรัทธาคือสภาวะแห่งจิตใจที่อาจเหนี่ยวนำ หรือก่อเกิดขึ้นได้ด้วยการตอกย้ำยืนยันข้อเสนอแนะลงสู่จิตใต้สำนึก
ผ่านทางกฎแห่งการเสนอแนะจิตใจตนเอง
ยกตัวอย่างเช่นจุดมุ่งหมายในการอ่านหนังสือเล่นนี้ของคุณโดยทั่วไปแล้ว
วัตถุประสงค์คือต้องการความสามารถในการเปลี่ยนแปลงความคิด
ภายในที่เป็นความมุ่งมาดปรารถนาให้กลายเป็นจริงจริงในโลกแห่งกายภาพอย่างเช่น เงินตรา
ด้วนการปฏิบัติตามคำแนะนำที่เกี่ยวกับการเสนอแนะจิตใจตัวเองและว่าด้วยเรื่องจิตใต้สำนึก
คุณอาจทำให้จิตใต้สำนึกเชื่อมั่นได้ว่าคุณจะได้รับสิ่งที่ร้องขอ มันจะสนองตอบตามความเชื่อและส่งผ่านกลับมายังคุณในรูปแบบของศรัทธา ติดตามด้วยแผนปฏิบัติการที่แน่นอนเพื่อการบรรลุเป้าหมายที่วางเอาไว้
วิธีการที่บุคคลหนึ่งสร้างศรัทธาขึ้นแต่ยังไม่ปรากฏเป็นรูปธรรมนั้นเป็นการยากอย่างยิ่งที่จะนำมาอธิบายจริงๆแล้วอาจยากกับการบรรยายว่าสีแดงเป็นอย่างไรให้กับคนตาบอดฟังที่เดียว
ศรัทธาคือสภาวะหนึ่งแห่งจิตใจที่คุณอาจพัฒนาขึ้นอย่างสมัครใจหลังจากได้เรียนรู้ขั้นตอนสู้ความร่ำรวยในหนังสือเล่มนี้
การตอกย้ำยืนยันลงสู้จิตใต้สำนึกเป็นเพียงวิธีการเดียวในการพัฒนาอารมณ์แห่งศรัทธาโดยสมัครใจบางที่ความหมายอาจชัดเจนขึ้นจากการอธิบายของนักอาชญวิทยาผู้มีชื่อเสียงเกี่ยวกับวิถีทางที่บางครั้งผู้คนกลายเป็นอาชญากรว่า “เมื่อผู้คนหนึ่งสัมผัสกับอาชญากรรมเป็นครั้งแรก
เขาจะรู้สึกชิงชังรังเกียจแต่ถ้าเขาเหล่านั้นยังคงติดต่อเกี่ยวกับอาชญากรมไประยะเวลาหนึ่ง
ก็จะคุ้นชินและทนรับได้
และถ้ายังคงเกี่ยวข้องกับมันนานพอละก็ในที่สุดเขาก็โอบอุ้มเอาไว้และตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของมัน”
ในทำนองเดียวกัน สามารถกล่าวได้ว่า ความคิดที่เป็นแรงบันดาลใจใดๆก็ตามที่ถูกตอกย้ำส่งผ่านไปยังจิตใต้สำนึก
ในที่สุดก็ถูกยอมรับและสนองตอบจิตใต้สำนึกจะดำเนินการเปลี่ยนแปลงแรงบันดาลใจนั้นให้ปรากฏทางกายภาพด้วยวิธีปฏิบัติที่มีอยู่ในการติดต่อกับสิ่งนี้จงพิจารณาประโยคต่อไปนี้อีกครั้ง
: ความคิดทั้งหลายซึ้งเต็มไปด้วยอารมณ์ (สอดใส่ความรู้สึก) และผสานผสมด้วยศรัทธา จะเริ่มต้นแปลงเปลี่ยนให้เป็นจริงทางกายภาพหรือทางใดก็ตามที่สามารถปรากฏตัวได้โดยเท่าเทียม
อารมณ์หรือความรู้สึกคือองค์ประกอบที่ทำให้ความคิดมีชีวิตชีวาและกระฉับกระเฉง อารมณ์แห่งศรัทธา ความรัก
และเซ็กส์เมื่อผสานเข้ากับความคิดที่เป็นแรงบันดาลใจใดๆก็ตาม
จะก่อให้เกิดผลที่ยิ่งใหญ่กว่าการทำงานของอารมณ์ใดๆ เพียงลำพัง
ไม่เพียงความคิดร้อนแรงที่ผสานผสมกับศรัทธาเท่านั้นแต่ยังรวมถึงความคิดที่หลอมรวมเข้ากับอารมณ์ที่สร้างสรรค์ใดๆก็ตามหรือแม้ตาอารมณ์ในทางทำลายทั้งหลาย
ก็อาจก่อเกิดอิทธิพลต่อจิตใต้สำนึกได้ด้วยเช่นกัน
จากประโยคนี้คุณจะเข้าใจว่าจิตใจสำนึกจะเปลี่ยนแปลงแรงบันดาลใจแห่งความคิดในทางทำลายให้กลายเป็นรูปธรรมได้ทัดเทียมกับที่สนองตอบต่อแรงบันดาลใจในทางสร้างสรรค์ ซึ่งคำอธิบายสำหรับปรากฏการณ์ประหลาดนี้
ผู้คนมากมายที่ผ่านมาพบประสบการณ์ต่างอ้างถึงมันในฐานะความ “อัปมงคล”
หรือ “โชคร้าย”
ผู้คนนับล้าน “เชื่อ”
ว่าตัวเองถูกกำหนดให้ยากจนและล้มเหลว เพราะพวกเขาเชื่อในพลังแปลกประหลาดจึงไม่สามารถควบคุมชีวิตให้ดำเนินไปในทางที่ถูกต้องพวกเขาล้วนเป็นผู้สร้างความ โชคร้าย
ขึ้นมาเพราะความเชื่อในทางทำลายซึ่งจิตใต้สำนึกรองรับประทับไว้แล้วนำพาให้ปรากฏเป็นจริงในโลกภายนอก
นี้คือสถานที่อันเหมาะสมซึ่งขอยืนยันอีกครั้งว่าคุณอาจได้ประโยชน์ในการส่งต่อความมุ่งมาดปรารถนาใดก็ตามที่คุณต้องการให้กลายเป็นจริงไปยังจิตใต้สำนึกด้วยความมาดมั่น
หรือเชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริงๆศรัทธาหรือความเชื่อของคุณคือองค์ประกอบที่ตัดสินการกระทำแห่งจิตใต้สำนึกของคุณไม่มีสิ่งใดขัดขวางคุณไว้จากการสร้าง
อุบายลวงล่อ ต่อจิตใต้สำนึกเมื่อหยิบยื่นคำสั่งไปยังจิตใต้สำนึกผ่านกระบวนการเสนอแนะจิตใจตนเอง เช่นเดียวกับที่ผู้เขียนใช้อุบายกับจิตใต้สำนึกของลูกชายเพื่อทำให้ อุบายนี้เป็นจริงยิ่งขึ้นจงแสร้งทำราวกับว่า คุณได้ครอบครองวัตถุที่ปรารถนาเอาความไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อคุณร้องขอต่อจิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกก็จะแปลงเปลี่ยนให้เป็นจริงด้วยคุณค่าที่ทัดเทียมกัน สิ่งใดก็ตามที่ตอกย้ำประทับลงไปด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา สิ่งนั้นก็จะกลายเป็นจริง
อุบายลวงล่อ ต่อจิตใต้สำนึกเมื่อหยิบยื่นคำสั่งไปยังจิตใต้สำนึกผ่านกระบวนการเสนอแนะจิตใจตนเอง เช่นเดียวกับที่ผู้เขียนใช้อุบายกับจิตใต้สำนึกของลูกชายเพื่อทำให้ อุบายนี้เป็นจริงยิ่งขึ้นจงแสร้งทำราวกับว่า คุณได้ครอบครองวัตถุที่ปรารถนาเอาความไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อคุณร้องขอต่อจิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกก็จะแปลงเปลี่ยนให้เป็นจริงด้วยคุณค่าที่ทัดเทียมกัน สิ่งใดก็ตามที่ตอกย้ำประทับลงไปด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา สิ่งนั้นก็จะกลายเป็นจริง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการทดลองและการฝึกหัดต้องมีจุดเริ่มต้น รวมทั้งความสามารถในการผสานศรัทธาลงไปในคำสั่งใดๆก็ตามที่ส่งให้จิตใต้สำนึกเพราะความสมบูรณ์จะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติ
มิใช่เพียงแค่อ่านคำแนะนำต่างๆ
ถ้ามันเป็นความจริงที่ว่า บุคคลหนึ่งกลายเป็นอาชญากรโดยการมีส่วนร่วมกับอาชญากรรม
(ซึ่งพิสูจน์แล้ว)ก็เป็นความจริงเช่นกันว่าบุคคลหนึ่งอาจพัฒนาศรัทธาขึ้นโดยการใช้ข้อเสนอแนะอันเฉพาะเจาะจงต่อจิตใต้สำนึก
ในที่สุดจิตใจก็ยอมรับไปโดยธรรมชาติของอิทธิพลที่เข้ามาครอบงำ เมื่อเข้าใจถึงข้อเท็จจริงนี้แล้วคุณก็จะตระหนักว่าทำไมจึงจำเป็นต้องหนุนเนื่องอารมณ์ในเชิงสร้างสรรค์ให้เป็นพลังมีอำอาจเหนือจิตใจในขณะที่พยายามป้องปราม และขจัดอารมณ์ทางทำลายออกไป
จิตใจที่ถูกครอบงำโดยอารมณ์สร้างสรรค์จะกลายเป็นที่อาศัยของสภาวะจิตใจที่เรียกว่า ศรัทธา
และจิตใจที่ถูกครอบงำเช่นนั้นอาจหยิบยื่นขอเสนอแนะแก่จิตใต้สำนึก ซึ่งจะถูกยอบรับและตอบสนองในทันที
ศรัทธาคือสภาวะหนึ่งของจิตใจ
ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยการเสนอแนะจิตใจตนเอง
ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยการเสนอแนะจิตใจตนเอง
ตลอดทุกยุคทุกสมัย
ผู้นำศาสนาทั้งหลายได้พยายามตักเตือนมนุษย์ชาติให้ มีศรัทธา
ต่อหลักเกณฑ์ที่ยังไม่มีข้อพิสูจและหลักศาสนาต่างๆ
ล้มเหลวที่จะบอกกล่าวให้แก่ผู้คนว่า
จะก่อให้เกิดศรัทธาได้อย่างไรพวกเขามิได้แจกแจงว่า ศรัทธาคือสภาวะหนึ่งแห่งจิตใจ
และเป็นสภาวะที่อาจเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้นได้ด้วยการเสานอแนะจิตใจตนเอง
ในภาษาใดๆ
ก็ตามที่มนุษย์ธรรมดาสามารถเข้าใจได้นั้น
เราจะบรรยายสิ่งที่รู้ทั้งมวลเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ที่อาจก่อเกิด ศรัทธา
ขึ้นในที่ซึ่งยังไม่ปรากฏ
จงมีศรัทธาต่อตัวคุณเอง
มีศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า ก่อนที่เราจะเริ่มต้น
สมควรย้อนรำลึกอีกครั้งว่า...
ศรัทธา คือ “น้ำอมฤต” ที่ทำให้ชีวิตมีพลัง
และก่อเกิดการกระทำให้กับแรงบันดาลใจ
และก่อเกิดการกระทำให้กับแรงบันดาลใจ
ประโยคข้างบน มีคุณค่าอย่างยิ่งในการอ่านซ้ำดังๆ
เป็นครั้งที่ 2 – 3 และ 4
ศรัทธา คือ
จุดเริ่มต้นของความร่ำรวยทั้งหลาย
ศรัทธา คือ
บทเริ่มต้นแห่ง “ปาฏิหาริย์”
และความมหัศจรรย์ทั้งมวลที่ไม่สามารถแยกแยะด้วยกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ เท่าที่ทราบ ศรัทธา คือยาเพียงขนาดที่มีไว้ป้องกันความ ล้มเหลว
ศรัทธา คือ
ธาตุทางเคมีที่พอไปหลอมรวมกับการสวดอ้อนวอนจะทำให้บุคคลผู้หนึ่งสามารถสื่อความหมายโดยตรงกับภูมิปัญญาที่สูงล้ำกว่าได้
ศรัทธา คือ
องค์ประกอบที่เปลี่ยนแปลงคลื่นความถี่ของความคิดอันจำกัดให้กลายเป็นสมดุลแห่งจิตวิญญาณ
ศรัทธา คือ
พลังเพียงหนึ่งเดียวที่พลังจักรวาลแห่งภูมิปัญญาที่สูงล้ำกว่าสามารถควบคุมและใช้ประโยชน์
ทุกๆประโยคข้างบนสามารถพิสูจน์ได้
การพิสูจน์นั้นเป็นเรื่องง่าย
กล่าวคือมันสรุปรวมลงที่กฎแห่งการนำเสนอแนะนำจิตใจตนเอง ดังนั้น
เราลองมากำหนดความสนใจไว้ที่การเสนอแนะจิตใจตนเองแล้วดูสิว่ามีสิ่งใดบ้างที่สามารถบรรลุผลสำเร็จ
มีความเป็นจริงประการหนึ่งที่ทราบกันดีว่าในที่สุดแล้วเราก็จะเชื่อมั่นในสิ่งใดก็ตามที่ตอกย้ำประทับกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิดก็ตาม
ถ้าประโยคคำพูดหนึ่งถูกย้ำซ้ำซากประโยคดังกล่าวจะถูกยอมรับว่าเป็นความจริงในที่สุด และเราจะเชื่อมั่นว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง
พวกเราแต่ละคนล้วนเป็นอย่างที่เราเป็นก็เพราะความคิดครอบงำที่เราอนุญาตให้มันครอบครองจิตใจความคิดต่างๆที่ถูกประทับลงในจิตใจโดยเจตนา
และหนุนเนื่องด้วยความเห็นพ้องประกอบกับการผสมผสานด้วยอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งหรือมากกว่า ก็จะหล่อหลอมรวมกันขึ้นเป็นพลังชักนำจิตใจซึ่งพลังเหล่านี้ควบคุม
แนะนำทุกๆการเคลื่อนไหวและการกระทำของเราเลยทีเดียว
ความคิดที่ผสมผสานไว้ด้วยความรู้สึกหรืออารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งก่อเกิดพลัง ”ดึงดูด”
ซึ่งเหนี่ยวนำความคิดที่ละม้ายคล้ายกันหรือเกี่ยวเนื่องจากเอเธอร์หรืออากาศธาตุผู้นั้นในที่สุด
ดังนั้น ความคิดที่ผสานผสมกับอารมณ์จนกลายเป็นแรงดึงดูด อาจเปรียบเทียบกับเมล็ดของพืชพันธุ์หนึ่ง
ซึ่งเมื่อหว่านเพาะลงในดินที่อุดมสมบูรณ์จะงอกรากเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเมล็ดพันธุ์เล็กๆเกิดเป็นเมล็ดเดียวกันอีกนับแสนนับล้าน
อากาศธาตุหรอเอเธอร์คือมวลพลังแห่งแห่งคลื่นการสั่นสะเทือนแห่งจักรวาลอันยิ่งใหญ่มันประกอบขึ้นด้วยทั้งคลื่นในทางทำลายและสร้างสรรค์ ตลอดเวลามันนำพาคลื่นแห่งความหวาดกลัว ยากไร้
โรคภัยไข้เจ็บ ความล้มเหลว เจ็บปวดรวดร้าว และคลื่นแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย สุขภาพดี
ความสำเร็จและความสุขมันนำพาสภาวะทั้งสองคั่วดังกล่าวเช่นเดียวกับที่นำพาการประสานเสียงจากวงออเคสตร้านับร้อยของมนุษย์ทั้งหลายซึ่งเสียงทั้งหมดยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวและจำแนกแยกแยะได้โดยสื่อกลางเช่นวิทยุ
จากคลังเก็บกักเอเธอร์ขนาดมหึมา จิตใจมนุษย์ยังคงดึงดูดคลื่นสั่นสะเทือนที่สอดคล้องกับคลื่นที่ครอบงำจิตใจของตนเองอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะเป็นความคิด แนวคิด แผนการ
หรือจุดมุ้งหมายที่ยึดมั่นอยู่ในจิตใจล้วยดึงดูดมาจากคลื่นความสั่นสะเทือนที่เกี่ยวเนื่องกันทางอากาศ มันเพิ่มเติมความ “เกี่ยวเนื่อง” เหล่านี้เข้าไว้ในพลังของตนเองและเจริญเติบโตจนกระทั้งกลายเป็นแรงบันดาลใจที่ทรงพลัง
บัดนี้
เราลองย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและสำรวจว่าเมล็ดพันธุ์ดั้งเดิมแห่งแนวคิด แผนการ
หรือจุดมุ่งหมายนั้นถูกปลูกฝังไว้ในจิตใจอย่างไร ข้อมูลถูกลำเลียงไปโดยง่าย ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดแผนการหรือจุดมุ่งหมายใดๆก็ตามอาจถูกบรรลุไว้ในจิตใจด้วยการตอกย้ำซ้ำทวนความคิด
นี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณถึงถูกขอร้องให้เขียนข้อความที่เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญหรือเป้าหมายที่นอนไว้ในความทรงจำและตอกย้ำซ้ำทวน อ่านด้วยเสียงอันดังวันแล้ววันเล่า จนกว่าคลื่นความสั่นสะเทือนแห่งเสียงเหล่านี้จะประทับแนบแน่นลงบนจิตใต้สำนึก
เราเป็นอย่างที่เป็นก็เพราะคลื่นสั่นสะเทือนแห่งความคิดที่เราดึงดูดและประทับไว้จากการปลุกเร้าของสภาพแวดล้อมในแต่ละวันของตน
จงตั้งใจสลัดอิทธิพลของสภาพแวดล้อมที่โชคร้ายต่างๆออกไป และสร้างเสริมชีวิตของตัวคุณเองให้ดีขึ้น จงทำบัญชีสินทรัพย์แห่งจิตใจ
แล้วคุณจะพบว่าจุดอ่อนที่สุดของตัวคุณคือการขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
ข้อด้อยนี้สามารถเอาชนะ
และเปลี่ยนแปลงเป็นความกล้าหาญด้วยความช่วยเหลือของกฎแห่งการเสนอแนะตนเองการใช่ประโยชน์จากกฎนี้อาจได้มาจากการกำหนดความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นแรงบันดาลใจแล้วเขียนลงในกระดาษจากนั้นก็จดจำ
และตอกย้ำจนกว่ามันจะกลายเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพของจิตใต้สำนึก
สูตรสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง
1.
ฉันรู้ว่าตัวเองมีความสามารถในการบรรลุเป้าประสงค์แห่งจุดมุ่งหมายที่แน่นอนในชีวิต ดังนั้นฉันจึงเรียกร้องให้ตัวเองมีความอดทน
ย่างก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งสู่ความสำเร็จและฉันสัญญาว่าจะทำเช่นนั้น
2.
ฉันตระหนักดีว่า
ความคิดที่ครอบงำจิตใจจะแสดงตัวเองออกมาในที่สุด และค่อยๆ
เปลี่ยนแปลงเป็นความจริงทางกายภาพดังนั้น
ฉันจะมีสมาธิอยู่กับความคิดของตัวเองวันละ
30 นาที
คิดถึงบุคคลที่ฉันอยากจะเป็นด้วยเหตุนั้นในจิตใจฉันจึงสร้างภาพของบุคคลดังกล่าวอย่างเด่นชัด
3.
ฉันทราบว่ากฎแห่งการสอนแนะนำจิตใจตนเองไม่ว่าความปรารถนาใดๆที่ยีดเหนี่ยวฝังแน่นในจิตใจจะแสวงหาวิถีทางแสดงตัวออกสู่โลกภายนอก ฉะนั้น
ฉันจะอุทิศเวลา 10 นาที
ของแต่ละวันเพื่อพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเอง
4.
ฉันเขียนเป้าหมายหลักที่แน่นอนของชีวิตลงไปอย่างชัดเจน และฉันจะไม่หยุดยั้งความพยายามจนกว่าจะพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเองมากเพียงพอต่อความสำเร็จ
5.
ฉันจะตระหนักอย่างเปลี่ยมล้นว่า
ไม่มีความมั่งคั่งหรือฐานะใดๆจะยืนยงยาวนาน
เว้นแต่จะเก็บสะสมได้มาอย่างซื่อสัตย์และยุติธรรม ดังนั้นฉันจะไม่ทำธุรกิจที่เอื้อประโยชน์ทั้งหมดให้แก่สิ่งผิด
สาระดีมาก
ตอบลบดีมากกกก
ตอบลบข้อมูลนาสนใจมากค่ะ
ตอบลบเนื้อหาดี
ตอบลบสวย
ตอบลบสาระดี
ตอบลบ